ฟอกสีฟัน
ฟื้นคืนรอยยิ้มให้ขาวกระจ่าง ด้วยเทคโนโลยีปลอดภัยภายใต้การดูแลของทันตแพทย์
ฟื้นคืนรอยยิ้มให้ขาวกระจ่าง ด้วยเทคโนโลยีปลอดภัยภายใต้การดูแลของทันตแพทย์
การฟอกสีฟัน: ทางเลือกคืนความมั่นใจให้รอยยิ้ม
แม้จะดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดี แต่ฟันของหลายคนยังดูหมองคล้ำหรือเหลืองเมื่ออยู่ใต้แสงไฟ หรือเวลาถ่ายภาพใกล้ ๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มชา กาแฟ ไวน์ หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ การเปลี่ยนสีของฟันตามธรรมชาติเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งภายนอก (คราบสีจากอาหาร) และภายใน (เช่น อายุ หรือการใช้ยาบางชนิดในอดีต)
และแม้การแปรงฟันหรือขูดหินปูนจะช่วยได้บางส่วน แต่หากต้องการปรับสีฟันให้ขาวกระจ่างขึ้นอย่างชัดเจน การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening) คือวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ชัดเจนภายใต้การดูแลของทันตแพทย์

การฟอกสีฟันคืออะไร?
การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening) คือกระบวนการที่ช่วยทำให้ฟันที่หมองคล้ำหรือมีสีเหลืองจากคราบต่าง ๆ กลับมาขาวกระจ่างขึ้น โดยอาศัย “สารฟอกสี” ที่มีคุณสมบัติปล่อยออกซิเจนเข้าสลายเม็ดสีในเนื้อฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุของความคล้ำหรือเหลืองนั้น โดยไม่ทำลายโครงสร้างของฟัน สารฟอกสีที่ใช้มีอยู่ 2 ชนิดหลัก ได้แก่:
-
Hydrogen Peroxide: เป็นสารที่ออกฤทธิ์โดยตรง มีความเข้มข้นสูง มักใช้ในคลินิก
-
Carbamide Peroxide: สลายตัวเป็น Hydrogen Peroxide อย่างช้า ๆ นิยมใช้ในชุดฟอกสีฟันที่บ้าน เพราะอ่อนโยนกว่า
เมื่อสารเหล่านี้สัมผัสกับผิวฟัน จะปล่อยอนุมูลออกซิเจนที่เข้าไป “แตกโครงสร้าง” ของเม็ดสีภายในชั้นเนื้อฟัน (dentin) ทำให้ฟันค่อย ๆ ขาวขึ้นอย่างปลอดภัย
การฟอกสีฟันช่วยลดสีฟันแบบใดได้บ้าง?
ฟันที่สามารถตอบสนองต่อการฟอกสีได้ดีมักเป็นฟันที่มีการเปลี่ยนสีจากปัจจัยภายนอก เช่น:
-
คราบชา กาแฟ ไวน์แดง หรือน้ำอัดลม
-
คราบจากการสูบบุหรี่
-
คราบสะสมจากอาหารบางชนิด
-
สีฟันที่เข้มขึ้นจากอายุที่มากขึ้น
สำหรับฟันที่คล้ำจากสาเหตุภายใน เช่น ฟันตาย ฟันที่ได้รับการกระแทก หรือฟันที่ได้รับยาบางชนิดในวัยเด็ก (เช่น เตตราไซคลีน) ผลการฟอกอาจเห็นได้น้อยกว่า และควรประเมินโดยทันตแพทย์ก่อนทำ
สิ่งที่ควรเข้าใจก่อนการฟอกสีฟัน
-
การฟอกสีฟัน ไม่สามารถเปลี่ยนสีของวัสดุบูรณะฟัน เช่น วัสดุอุด ครอบฟัน หรือวีเนียร์ได้
-
สีของฟันแต่ละคนจะมี “ขีดจำกัดธรรมชาติ” ไม่สามารถฟอกให้ขาวเกินสีฟันธรรมชาติที่แท้จริง
-
ผลลัพธ์ของการฟอกสีจะอยู่ได้นานแค่ไหน ขึ้นกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การดื่มเครื่องดื่มมีสี หรือการสูบบุหรี่
ประเภทของการฟอกสีฟัน
1. ฟอกสีฟันในคลินิก
(In-office Whitening)
เป็นการฟอกสีโดยทันตแพทย์ ใช้สารฟอกสีที่มีความเข้มข้นสูง (เช่น 35–40% Hydrogen Peroxide) ร่วมกับแสง LED หรือ Zoom Light เพื่อเร่งปฏิกิริยาให้เห็นผลเร็วขึ้น
ขั้นตอนโดยสรุป
-
ปิดเหงือกด้วยวัสดุป้องกัน
-
ทาสารฟอกสีบนผิวฟัน
-
ใช้แสง LED/Zoom เพื่อกระตุ้น
-
ใช้เวลาประมาณ 45–60 นาทีต่อครั้ง
ข้อดี
✅ เห็นผลชัดเจนใน 1 ครั้ง
✅ ปลอดภัยภายใต้การควบคุมของทันตแพทย์
✅ เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว
ข้อควรทราบ
-
อาจมีอาการเสียวฟัน สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างทำการฟอก
-
ราคาโดยเฉลี่ยสูงกว่าการฟอกที่บ้าน
2. ฟอกสีฟันที่บ้าน
(Home Bleaching)
ใช้ถาดฟอกฟันที่ทันตแพทย์พิมพ์ปากและออกแบบให้พอดีกับผู้ป่วยแต่ละคน พร้อมสารฟอกสีความเข้มข้นต่ำกว่า (เช่น 10–20% Carbamide Peroxide)
ขั้นตอนโดยสรุป
-
ทันตแพทย์พิมพ์ปากและให้ถาดฟอก
-
คนไข้นำกลับไปใส่สารฟอกสีและใส่ถาดตามเวลาที่แนะนำ (1–2 ชม./วัน หรือใส่ข้ามคืน ขึ้นกับสูตรยา)
-
ใช้ต่อเนื่อง 7–14 วัน
ข้อดี
✅ ทำเองที่บ้านได้ สะดวก
✅ เห็นผลค่อยเป็นค่อยไป
✅ ราคาเข้าถึงง่ายกว่า
ข้อควรทราบ
-
ต้องมีวินัยในการใส่ถาดฟอกเป็นประจำ
-
เห็นผลช้ากว่าการฟอกในคลินิก
3. ฟอกสีฟันแบบผสม
(Combined Whitening)
เริ่มจากการฟอกในคลินิก 1 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลเร็ว จากนั้นต่อด้วยการฟอกที่บ้าน เพื่อรักษาสีฟันให้คงที่ในระยะยาว
ข้อดี
✅ เห็นผลไว + ควบคุมผลลัพธ์ได้ต่อเนื่อง
✅ ลดโอกาสฟันกลับมาหมองเร็ว
✅ เหมาะกับคนที่ต้องการทั้งความเร็วและความคงทน